http://thai.union.shef.ac.uk/Notice-Board/files/1e064542e1cb9aed2bfcd1e1d8340476-96.html ได้รวบรวมและกล่าวถึงปัญหาทางจริยธรรม
ไว้ว่า
๑)
การสร้างวัฒนธรรมยึดมั่นที่จะไม่แอบอ้างลอกเลียนความรู้ของผู้อื่น
ว่าเป็นความคิดของตน
ที่เรามักใช้ศัพท์ว่า “โจรกรรมวิชาการ”
(plagiarism) นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในสังคมไทย
หากเราจะสร้างสังคมที่คนในสังคมเป็นผู้มีปัญญา
มีความคิด มีวิจารณญาณของตนเอง เราต้องไม่ยอมให้ลูกของเรา
หรือลูกศิษย์ของเราทำการบ้านโดยใช้วิธีค้น อินเทอร์เน็ต แล้วตัดปะ วัฒนธรรมตัดปะคือวัฒนธรรมโจรกรรมวิชาการ เวลานี้สังคมไทยเรากำลัง “สอนลูกให้เป็นโจร” กันอยู่โดยไม่รู้ตัว
๒) ความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่จะไม่ใช้ทรัพยากรของสังคมในการทำงานวิจัยที่ไร้ประโยชน์
หรืองานวิจัยที่คุณภาพต่ำ ไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนนี้น่าจะเป็นจริยธรรมของหน่วยงาน
ของวงการวิชาชีพ ที่จะจัดระบบพัฒนาขีดความสามารถในการตั้งโจทย์วิจัย พัฒนาวัฒนธรรมที่พิถีพิถันในการตั้งโจทย์วิจัย คำหลักคือ วิจัยเพื่อสังคม ไม่ใช่วิจัยเพื่อนักวิจัย ไม่ใช่วิจัยเพื่อสถาบันวิจัย
๓) ความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่จะไม่ใช้ทรัพยากรวิจัยของสังคมเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือคอรัปชั่น ต้องไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากงบประมาณวิจัย เช่นเอาไปเที่ยวต่างประเทศ
กำหนดในงบวิจัยที่จ้างบุคคลภายนอกดำเนินการให้ต้องซื้อของตอบแทนหน่วยงานหรือบุคคล
ผศ.ดร.พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544 : 28) ได้กล่าวไว้ว่าปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ
มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย
ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1.การตั้งชื่อเรื่อง
- ลอกเลียนแบบชื่อเรื่องงานวิจัยของผู้อื่น
- ตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้หน่วยงานโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
2.การขอรับทุนสนับสนุน
- งานวิจัยเรื่องเดียวแต่ขอรับทุนหลานแหล่ง
- เปลี่ยนชื่อบางส่วน เช่น
เปลี่ยนชื่อจังหวัดแต่เนื้อในเหมือนกันหมดแล้วแยกกันไปขอทุน
- แอบอ้างชื่อนักวิจัยและที่ปรึกษาโครงการ
- การติดสินบนผู้พิจารณา
- ขอทุนแล้วเอาไปจ้างผู้อื่นทำต่อ
- การพิจารณาทุนมีการเกรงใจกันหรือใช้วิธีการตกลงกันล่วงหน้า
(lobby) มาก่อน
3.งบประมาณการวิจัย
- ตั้งงบประมาณสูงเกินจริง
และไร้เหตุผล
- ผู้ให้ทุนสร้างเงื่อนไขให้เบิกยาก
เช่น ใช้ระบบราชการเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง
4.การทำวิจัย
- แอบอ้างชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยโดยส่งเครื่องมือไปให้เป็นพิธี
- ไม่ส่งผลงานวิจัยตามกำหนดเวลาที่ขอทุน
- ไม่ได้เก็บข้อมูลจริงใช้วิธีสร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่
(ยกเมฆ)
- ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
- เร่งรีบทำวิจัยช่วงใกล้ ๆ
วันจะส่งผลงานวิจัยทำให้ผลงานวิจัยไม่มีคุณภาพ
- ไม่มีความรู้พอที่จะทำวิจัย
5.การเขียนรายงานการวิจัย
- จูงใจ
เบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
- เขียนรายงานในสิ่งที่ไม่ได้ทำจริง
เช่น
ไม่ได้หาคุณภาพเครื่องมือวิจัยแต่เขียนว่าหาคุณภาพเครื่องมือวิจัยพร้อมทั้งรายงานค่าสถิติที่สร้างขึ้นเอง
เป็นต้น
- คัดลอกข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง
- นำผลงานวิจัยผู้อื่นมาเปลี่ยนชื่อเป็นของตน
6.การส่งผลงานวิจัย
- ได้ทุนแล้วเมื่อครบกำหนดเงื่อนไขไม่ยอมส่งผลงานวิจัยให้หน่วยงานที่ให้ทุนตามสัญญา
- ไม่ได้แก้ตามประเด็นที่ตกลงไว้ก่อนรับทุน
และผู้ให้ทุนก็ไม่ได้ตรวจ
องอาจ นัยพัฒน์ (2548 : 24) ได้กล่าวไว้ว่าจริยธรรมและจรรยาบรรณในการวิจัยในกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการวิจัย
นักวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์มักมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านจริยธรรม
(ethical problem) นานัปการ เช่น
1.การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
(privacy) ของบุคคลแต่ละคนหรือกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม
(ทั้งโดยการเฝ้าสังเกตการณ์และสอบถามเรื่องส่วนตัว)
2.การหลอกลวง
(deception) หน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการทำวิจัย
3.การบิดเบือนข้อค้นพบของการศึกษาวิจัย
รวมทั้งการแอบอ้างผลงานวิจัยของบุคคลอื่นมาเป็นของตนเอง (plagiarism) ปัญหาทางด้านจริยธรรมทางการวิจัยในด้านต่าง
ๆ
เหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
สรุป
ปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ
มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย
ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1.การตั้งชื่อเรื่อง
2.การขอรับทุนสนับสนุน
3.งบประมาณการวิจัย
4.การทำวิจัย
5.การเขียนรายงานการวิจัย
6.การส่งผลงานวิจัย
ปัญหาทางจริยธรรม
มักมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านจริยธรรม (ethical problem) นานัปการ เช่น
1.การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
(privacy) ของบุคคลแต่ละคนหรือกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม
(ทั้งโดยการเฝ้าสังเกตการณ์และสอบถามเรื่องส่วนตัว)
2.การหลอกลวง
(deception) หน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการทำวิจัย
ดังนั้นคุณสมบัติที่ดีของผู้วิจัย คือ มีความซื่อสัตย์, มีความรู้, ไม่มีอคติต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
หรือ หัวข้อวิจัย,ไม่เอาความคิดส่วนตัวมาเป็นเครื่องตัดสินใจผลวิจัย, ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น,เป็นคนช่างสังเกต, ละเอียด, รอบคอบ , มีความอดทน ตรงต่อเวลา, มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี,และ รู้จักประหยัดใช้ทรัพยากรในการวิจัย
อ้างอิง
พิชิต
ฤทธิ์จรูญ. (2544). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร :
ครุศาสตร์
สถาบันราชภัฏพระนคร.
องอาจ
นัยพัฒน์. (2548). วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.
กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามลดา.